วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2556
วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
วิดีโอการสอน
วิดีโอการสอน จัดทำโดย นางสาวอังศนา ตันมา
วิชาเอกคอมพิวเตอร์ศึกษา รหัส 52031390240
มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์
ประกอบวิชาคอมพิวเตอร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2556
วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2555
ตำแหน่งสิวบนใบหน้า ชี้โรคในร่างกายได้
ตำแหน่งสิวบนใบหน้า
ชี้โรคในร่างกายได้
หน้าผาก เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบย่อยอาหาร กระเพาะปัสสาวะ
และต่อมหมวกไต สาเหตุเกิดจากมีความเครียดสูง ล้างหน้าไม่สะอาดจากการทารองพื้น หรือแต่งคิ้วมากเกินไป
แนะนำให้พักผ่อนอย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง ดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว
ออกกำลังกายอย่างน้อย 20-30 นาที และที่สำคัญควรสระผมให้สะอาดล้างแชมพูออกให้หมด
สำหรับคนที่ชอบสวมหมวกควรรักษาความสะอาดอยู่เสมอ
หว่างคิ้ว เป็น โรคที่เกี่ยวข้องกับตับ มีปัญหาในการย่อยแล็กโทส สาเหตุเกิดจากรับ-ประทานอาหารรสจัดและนอนดึกเกินไป
แนะนำให้หลีกเลี่ยงการทานอาหารรสจัด การสูบบุหรี่ และงดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
ใบหู เป็นโรคที่เกี่ยวกับการทำงานของไต
และมีอุณหภูมิในร่างกายสูงเกินไป สาเหตุเกิดจากใช้โทรศัพท์มือถือมากเกินไป
ดื่มกาแฟ แอลกอฮอล์ และรับประทานเนื้อสัตว์ หากมีปัญหาสิวอุดตันที่ใบหู
แสดงว่าฟันกรามมีปัญหา แนะนำให้หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมัน ประเภท Fast Food หรือ Junk Food รับประทานผัก ผลไม้ที่ช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย เช่น แตงโม แตงกวา เป็นต้น
แก้ม เป็นโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจและปอด
สาเหตุเกิดจากสูบบุหรี่จัด หรือแพ้ควันบุหรี่ เป็นภูมิแพ้ หวัดเรื้อรัง แนะนำให้ลดอาหารประเภทน้ำตาลและน้ำอัดลม
เต้น แอโรบิกเพื่อบริหารปอด ให้ปอดทำงานได้ดีและแข็งแรงขึ้นในช่วงเวลา 19.00-21.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่ปอดทำงานได้ดีที่สุด
ฝึกระบบการขับถ่ายให้เป็นเวลาสม่ำเสมอ งดสูบบุหรี่ และอยู่ในที่ที่อากาศบริสุทธิ์
รอบดวงตา เป็นโรคที่เกี่ยวกับความ ผิดปกติของไต ขาดสารอาหาร
และปัญหาโรคภูมิแพ้ สาเหตุเกิดจากมีสารพิษตกค้างในร่างกาย พักผ่อนน้อย เครื่องสำอางที่ใช้ไม่เหมาะกับสภาพผิว
หรือใส่แว่นตาที่เสียดสีมาก แนะนำให้รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และผลไม้ เพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินจากธรรมชาติ
พักผ่อนให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง
สำหรับผู้ที่ใส่แว่นตา ควรทำความสะอาดแว่นตาอย่างสม่ำเสมอ
จมูกและริมฝีปาก เป็น โรคที่เกี่ยวข้อง กับการทำงานของหัวใจ มีความดันโลหิตสูงและเกี่ยวข้องกับการทำงานของรังไข่
สาเหตุเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หรืออยู่ในช่วงมีประจำเดือน แนะนำให้งดอาหารที่มีรสจัด
หรือมีส่วนผสมของเครื่องเทศและกระเทียม ลดเนื้อสัตว์ให้น้อยลง เลือกรับประทานอาหาร
ที่มีวิตามินบีมากขึ้น ดื่มน้ำในอุณหภูมิปกติ ไม่ร้อนหรือเย็นเกินไป
คาง เป็นโรคที่ เกี่ยวกับกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก สาเหตุเกิดจากรับประทานอาหารรสจัดเกินไปจนลำไส้เป็นแผล
หรือมีปัญหาในการดูดซึม แนะนำให้ลดอาหารรสเผ็ดลง เคี้ยวอาหารให้ละเอียด รับประทานผักและผลไม้ให้มากขึ้น
การวิเคราะห์ผิวตามตำแหน่งข้างต้นนั้น ทำให้ทราบถึงสุขภาพภายในร่างกาย
ดังนั้น การรักษาสิวบนใบหน้าสามารถทำควบคู่ไปกับการดูแลสุขภาพร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นด้านอาหารการกิน
การพักผ่อน การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้คุณก็มีใบหน้าที่สวย
สดใสพร้อมทั้งร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง
วันเสาร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
กลยุทธการทำงานให้มีความสุข
กลยุทธการทำงานให้มีความสุข
วิชาญ วนะสิทธฺ์
สถาบันพัฒนาผู้บริหารการศึกษา
"งานคือชีวิต
ชีวิตคืองาน" คำกล่าวนี้เป็นคำที่น่าคิดมาก
การมีชีวิตอยู่ของมนุษย์อยู่เพื่ออะไร
มีคนจำนวนไม่น้อยที่หลงเข้าใจผิดคิดว่า การมีชีวิต นั่งกินนอนกิน
โดยไม่ต้องทำงานนันเป็นสิ่งที่ตนใฝ่ฝัน แต่ถ้าคิดถึงคนที่ไม่สามารถทำงานได้เลย
งานในที่นี้คือ งานนอกบ้าน งานในบ้าน ถ้าต้องนั่งกิน นอนกิน
ก็คงเข้าข่ายเป็นคนพิการหรืออัมพาตนั่นเอง พอพูดถึงพการ หรืออัมพาตก็คงไม่มีใครพึงประสงค์เป็นแน่
ช่วงชีวิตมนุษย์นั้น
ช่วงของวัยทำงานดูจะเป็นช่วงชีวิตที่มีความสำคัญที่สุดเพราะจะมีประสบความสำเร็จหรือไม่ จะนำครอบครัวไปรอดหรือไม่จะสร้างอนาคตให้แก่ลูกหลานได้หรือไม่จะสร้างอนาคตให้แก่ลูกหลานได้หรือไมคือช่วงชีวิตการทำงานนี่เอง
จากอายุ 20 - 60 ปี ประมาณ 40
ปีที่ต้องทำงาน (เกษียณ 60 ปี) เป็นช่วงชีวิตที่ยาาวนานที่สุด
จึงเป็นเวลาที่มีค่ามากที่สุด
ทำอย่างไรจึงจะวางแผนชีวิตการทำงานให้ประสบความสำเร็จซึ่งจะส่งผลถึงความเป็นอยู่
ความสำเร็จของชีวิตครอบครัวรวมทั้งอนาคตของบุตรหลาน
ระยะเวลาของวัยทำงาน
จึงมีค่ามากที่สุดและเป็นช่วงชีวิตที่ยาวนานที่สุดจึงมีคำว่า "งานคือชีวิต
ชีวิตคืองาน"
ดังนั้น
จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องหากลยุทธที่จะทำงานให้มีความสุขให้ได้
ปัญหาก็มีอยู่ว่า มนุษย์มัหไม่ได้สิ่งที่ตนเองต้องการเสมอหรือถึงได้ก็ยังไม่เพียงพอแต่มักจะไม่พอใจที่ตนได้อยู่เสมอ
ๆ บ้างก็ได้งานที่ตนเองไม่ชอบ
แต่ต้องจำใจทำเพราะเดี๋ยวนี้งานหายาก
บางคนทำงานหนักก็ไม่ว่าแต่ไม่ถูกชะตากับเจ้านาย
บางคนไม่ถูกกับเพื่อนร่วมงาน บางคนไม่ถูกกับสิ่งแวดล้อมก่อนที่จะพูดถึงแนวทางในการทำงานให้มีความสุข ก็ต้องหันมาดูว่าอะไรที่ทำให้ทำงานแล้ว
มีความทุกข์ ปัจจัยที่มีผลต่อการทำงานนั้น มีดังนี้ คือ
1. งาน
2. เงิน
3. นายงาน
4. เพื่อนร่วมงาน
5. องค์กร
6. สิ่งแวดล้อม
7. ตัวเอง
ปัญหา
ที่ทำให้การทำงานไม่มีความสุข
1. ปัญหาส่วนตัว
2. ปัญหาครอบครัว
3. ปัญหาที่ทำงาน
ปัญหาทั้งสามด้านนี้ มีความเกี่ยวพันกันอย่างมากปัญหาส่วนตัวก็กระทบถึงครอบครัวการทบถึงที่ทำงาน
โดยเฉพาะปัญหาครอบครัวก็มีผลต่อการทำงาน
และบางคนปัญหาที่ทำงานก็ส่งผลถึงตนเอง และครอบครัวเช่นกัน
หากสามารถแยกปัญหาแต่ละด้านไม่ให้มีผลกระทบกันได้ ก็เป็นการดี แต่ก็ทำได้ยากเพราะ
การทำงานก็เพื่อครอบครัว หากครอบครัวมีปัญหา อาาจทำลายกำลังใจในการทำงานได้
นอกจากนี้
พฤติกรรมบางประการดังต่อไปนี้ก็มีผลอย่างมากต่อการทำงานที่ไม่มีความสุข คือ
1. เป็นคนที่นึกถึงแต่ผลตอบแทนเป็นวัตถุ (เงิน) มากเกินไป
2. เป็นคนเห็นแก่ตัว นนึกถึงผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม (ผู้อื่น)
3. มีความต้องการ (ความทะเยอทะยาน อยากได้ อยากเป็น)
ที่ไม่อยู่บนความเป็นจริงของตนเอง (เป็นไปได้ยาก)
4. มีความรักตัวเองมากเกินไปในทางที่ผิด เช่น กลัวตวเองลำบาก
กลัวว่าจะไม่มีความสุข ถ้าไม่ได้ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด
5. มีความอยากไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อผิดหวังก็เกิดทุกข์
6. "บ้าอัตตา" หรือติดยึดมากเกินไป คนทุกคนจะมีสิ่งติดยึดต่างกัน
แม้บางคนย้ายหน่วยงานแล้วก็ตาม ก็ยังติดยึดหลาย ๆ สิ่งจากที่ทำงานเดิม
จึงเป็นปัญหา
7. ขาดความสุนทรีย์ในอารมณ์ (ขาดอารมณ์ขัน) และมองโลกในแง่ร้าย
8. ปรับตัวยาก
กลยุทธที่จะทำให้การทำงานมีความสุข
มีแนวทางดังนี้
1. รักงาน
2. รักองค์กร
3. รักผู้ร่วมงานที่เกี่ยวข้อง
(นายงาน - เพื่อน - ลูกน้อง - ลูกค้า)
4. ลดความเห็นแก่ตัว
และใฝ่คุณธรรม
5. ทำโดยไม่หวังผลตอบแทนบ้าง
(นอกงาน - ในงาน)
6. ทำให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์
มีความสุข พอใจสมหวัง
7.
มีกิจกรรมสร้างสรรค์ในที่ทำงาน
8. มีส่วนร่วมคิด ส่วนทำ
ส่วนรับผิดชอบในที่ทำงาน
9. ทำให้เป็นที่ยอมรับ
มีเกียรติยศ ชื่อเสียง เช่น ได้รับรางวัลต่าง ๆ
10. วางแผน - ติดตาม - ประเมินผลการกระทำของตนเองเป็นนิจล
ทั้งสิบประการนี้เป็นแนวทางที่จะสร้างความสุขในการทำงาน
หากทำได้ทั้งสิบประการท่านจะเป็นคนที่น่าอิจฉาแก่คนทั้งโลกแน่นอน
และจะเป็นคนที่เพียบพร้อมด้วยเกียรติยศ ชื่อเสียงและที่สำคัญ ยังส่งผลถึงครอบครัว
หน่วยงาน และสังคมโดยส่วนร่วม
วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555
แก้ไอง่ายๆ ด้วยสมุนไพร
อาการไอ เป็นส่วนหนึ่งของกลไกของปอด
ที่ใช้ในการสกัดสิ่งที่บุกรุกเข้ามา โดยทั่วไป อาการไอ เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น สูดดมควันต่างๆ
ฝุ่นละออง หรือสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ แต่สาเหตุสำคัญ คือ การติดเชื้อจากแบคทีเรีย ไวรัส
หากมีอาการเจ็บคอ ไอแห้งๆ หรือมี เสมหะเล็กน้อย มักเป็นอาการร่วมของโรคหวัด ได้แก่
ไข้หวัด โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ เสมหะอุดตันที่คอ ไข้หวัดใหญ่ หรือติดเชื้อไวรัสอื่นๆ
ส่วนสาเหตุที่อาจเป็นไปได้แต่พบได้น้อยได้แก่
หัด ไอกรน คออักเสบ กล่องเสียงอักเสบ หลอดลมฝอยอักเสบ หรือปอดบวม เป็นต้น
วิธีรักษาอาการไอที่ดีที่สุดคือ
การรักษาที่ต้นเหตุของการไอ แต่ไม่ใช่การกดอาการไว้ เพราะการไอจะช่วยขับเอาเสมหะ
และฝุ่นละอองที่ สูดหายใจเข้าไปออกจากปอด หลอดลม และหลอดคอออกมา
รักษาไอให้ถูกวิธี เมื่อเริ่มมีอาการไอ
คนส่วนใหญ่มักรีบสรรหายาแก้ไอสารพัดยี่ห้อมากิน ซึ่งนอกจากจะไม่ได้ผลแล้ว
บางครั้งยังส่งผลข้างเคียงอื่นๆ ตามมา
ทางที่ดีที่สุดควรแก้ด้วยวิธีที่ปลอดภัยดังนี้ค่ะ
1.ควรปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมรอบตัว
โดยพยายามอยู่ในบริเวณที่มีอากาศไม่เย็น ไม่มีฝุ่นละออง
2.อาการไอแบบมีเสมหะ
จะเป็นการดึงมูกออกจากเนื้อเยื่อ ควรนอนหนุนหมอนให้ศีรษะสูงกว่าลำตัว
หรือในลักษณะกึ่งนอนกึ่งนั่ง เพื่อช่วยให้การหายใจคล่องขึ้น
เมื่ออาการดีขึ้นแล้วจึงค่อยนอนราบตามปกติ
3.ถ้ามีอาการไอแบบแห้ง
จนไม่สามารถนอนหลับพักผ่อนได้ ควรใช้ยาสมุนไพรที่มีลักษณะข้น เพื่อเป็นการเคลือบคอ และบรรเทาอาการปวด
บรรเทาอาการไอด้วยสมุนไพร
•ขิง รสหวานเผ็ดร้อนจะช่วยขับเสมหะ
โดยนำเอาส่วนเหง้าขิงแก่ฝนกับน้ำมะนาว หรือใช้เหง้าขิงสดตำผสมน้ำเล็กน้อย
คั้นเอาน้ำและเติม เกลือนิดหน่อย ใช้กวาดคอ หรือจิบบ่อยๆ หรือใช้ขิงแก่สดขนาดเท่าหัวแม่มือ
ทุบให้แตกต้มกับน้ำให้เดือด จิบเวลาไอ
•ดีปลี รสเผ็ดร้อนมีสรรพคุณช่วยขับเสมหะ
ใช้ผลแก่ของดีปลีประมาณ 1/2-1 ผล ฝนกับน้ำมะนาว เติมเกลือนิดหน่อย
กวาดลิ้นหรือจิบ บ่อยๆ
•เพกา
เมล็ดเพกาเป็นส่วนประกอบอย่างหนึ่งใน "น้ำจับเลี้ยง" ของคนจีน ใช้ดื่มแก้ร้อนใน
เมล็ดเพกามีสรรพคุณเป็นยาแก้ไอ และขับ เสมหะ โดยใช้เมล็ดเพกาประมาณ 1/2-1 กำมือ (หนัก 1.5-3 กรัม) ต้มกับน้ำประมาณ 300 มิลลิลิตร ตั้งไฟอ่อนๆ
ต้มให้เดือดนานประมาณ 1 ชั่วโมง ใช้ดื่มเป็นยาวันละ 3 ครั้ง
•มะขามป้อม ผลสดของมะขามป้อม
มีรสเปรี้ยวอมฝาด มีสรรพคุณรักษาอาการไอ ช่วยขับเสมหะ โดยใช้เนื้อผลแก่สด 2-3 ผล โขลกให้แหลก เหยาะเกลือเล็กน้อย
ใช้อมหรือเคี้ยววันละ 3-4 ครั้ง
•มะขาม รสเปรี้ยวของมะขาม
สามารถกัดเสมหะให้ละลายได้ เมื่อมีอาการไอ ระคายคอจากเสมหะ
ให้ใช้เนื้อในฝักแก่ของมะขามเปรี้ยว หรือมะขามเปียก (ที่มีรสเปรี้ยว)
จิ้มเกลือกินพอสมควร หรืออาจคั้นเป็นน้ำมะขามเหยาะเกลือเล็กน้อย ใช้จิบบ่อยๆ ก็ได้
•มะนาว รสเปรี้ยวของน้ำมะนาว
มีสรรพคุณแก้อาการไอ และขับเสมหะ โดยใช้ผลสดคั้นเอาแต่น้ำ จะได้น้ำมะนาวเข้มข้น
และใส่เกลือเล็ก น้อยจิบบ่อยๆ หรือจะทำเป็นน้ำมะนาวใส่เกลือและน้ำตาล
ปรุงให้มีรสจัด จิบบ่อยๆ ตลอดวัน หรือหั่นมะนาวขนาดเท่าปลายนิ้วก้อย จิ้มเกลือ
นิดหน่อย ใช้อมบ้างเคี้ยวบ้าง
•มะแว้งเครือ รสขมของมะแว้ง
มีสรรพคุณเป็นยาแก้ไอ และกัดเสมหะ โดยใช้ผลแก่สดประมาณ 5-10 ผล โขลกพอแหลก คั้นเอาแต่น้ำ ใส่
เกลือ จิบบ่อยๆ หรือจะใช้ผลสดเคี้ยว แล้วกลืนทั้งน้ำและเนื้อ
จนกว่าอาการจะดีขึ้นก็ได้
กิน...รักษาอาการไอ
การเลือกบริโภคก็มีส่วนช่วยบรรเทาอาการไอได้
แต่ต้องเป็นการกินที่ถูกวิธีและถูกสูตรด้วยนะคะ
1.กินกระเทียมอัดเม็ดครั้งละ 2 เม็ด วันละ 3 ครั้ง
2.กินวิตามินเอ วิตามินบี
และวิตามินซีเป็นประจำทุกวัน
3.อมลูกอมรสเมนทอล หรือชนิดอื่นๆ
ที่ทำให้เกิดอาการชา จะทำให้รู้สึกชุ่มคอ
4.ผสมน้ำส้มไซเดอร์ 1 ส่วน กับน้ำอุ่น 3 ส่วน เอาผ้าขนหนูชุบน้ำดังกล่าว
แล้วพันรอบคอไว้ จะช่วยขับเสมหะ
บำบัดอาการไอด้วยน้ำมันหอม
น้ำมันหอมสำหรับบำบัดอาการไอ
แต่ละกลิ่นก็เหมาะกับแต่ละคน ที่มีธาตุเจ้าเรือนต่างกันดังนี้ค่ะ
•ธาตุเจ้าเรือนดิน ใช้ไพล ไม้จันทน์
มะลิ
•ธาตุเจ้าเรือนน้ำ ใช้โหระพา กำยาน มะลิ
•ธาตุเจ้าเรือนลม ใช้โหระพา
เปปเปอร์มิ้นต์
•ธาตุเจ้าเรือนไฟ ใช้โรสแมรี่ พิมเสน
การบูร ทีทรี ยูคาลิปตัส ขิง
•ธาตุเจ้าเรือนเป็นกลาง ใช้กุหลาบ
วิธีบำบัด
1.ใช้สูดดมโดยตรง
หรือใช้หยดในน้ำร้อนแล้วสูดดม
2.ผสมน้ำมันหอมระเหย วาสลีน
และขี้ผึ้งเข้าด้วยกัน แล้วทาที่บริเวณหน้าอก
3.หากคัดจมูกมากจนหายใจไม่ออก
บางทีการสูดดมอาจไม่ค่อยได้ผล ให้ใช้นิ้วถูข้างจมูกทั้งสองข้างให้ร้อน
สั่งน้ำมูกออก แล้ว ค่อยสูดดมใหม่ หรือใช้การทานวดจะได้ผลมากกว่า
4.นำยูคาลิปตัส เปปเปอร์มิ้นต์
ลาเวนเดอร์ และไพล ผสมในอัตราส่วนเท่าๆ กัน ใช้สูดดมสูตรนี้ทำให้น้ำมูกลดลงทันที หายใจ
สะดวกขึ้น
5.นำยูคาลิปตัส ไธม์ สน ไซเปรส
และแซนดัลวูด ชนิดละ 2-3 หยด หยดลงในอ่างน้ำร้อน แล้วสูดดมไอน้ำประมาณ 10 นาที วันละ 2-3 ครั้ง จนกว่าอาการไอจะหายไป
6.ถ้าต้องการแก้อาการวิงเวียนหน้ามืด
ให้เติมการบูร หรือพิมเสน ลงไปเล็กน้อยตามสูตรจากข้อ 4 หรืออาจทำเป็นยาดมพกติดตัว ไว้
เวลาเดินทางไกลๆ หากบังเอิญว่ามีใครไอ จาม ก็หยิบขึ้นมาดมป้องกันการติดเชื้อได้ค่ะ
นิตยสารชีวจิตฉบับที่
159
แหล่งข้อมูล : www.cheewajit.com
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)